Focus

‘สี จิ้นผิง’ร่วมประชุมผู้นำจีน-อาเซียน เปิดยุคใหม่‘หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน’

12

January

2022

23

November

2021

        นับตั้งแต่ความสัมพันธ์คู่เจรจาระหว่างจีนกับประเทศอาเซียนได้เปิดฉากขึ้นในปี 2534 ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอาเซียนรวมถึงประเทศไทยได้พัฒนาไปอย่างรุดหน้า และล่าสุดได้ก้าวสู่ยุคใหม่ของการสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างจีน-อาเซียน จากคำประกาศของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ซึ่งกล่าวต่อผู้นำอาเซียน ขณะร่วมเป็นประธานการประชุมสมัยพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 30 ปี ความสัมพันธ์จีน-อาเซียน ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา

        ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า วันนี้เราได้ประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องการสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างจีน-อาเซียน นับเป็นก้าวใหม่ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดแรงผลักดันไปสู่การมีสันติภาพ เสถียรภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และการพัฒนาในระดับภูมิภาคและโลก

ย้อนมองความสำเร็จ 30 ปีจีน-อาเซียน  

        ผู้นำจีน กล่าวว่า ความสำเร็จของความร่วมมือจีน-อาเซียนในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เป็นผลพวงมาจากความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม และที่สำคัญกว่านั้นคือการที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้าแขนรับแนวโน้มการพัฒนาในแต่ละยุคสมัย และตัดสินใจเลือกสิ่งที่ถูกต้องในอดีตที่ผ่านมา โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้หยิบยกความสำเร็จของความร่วมมือจีน-อาเซียน 5 ประการ ได้แก่ ประการแรก: การเคารพซึ่งกันและกัน ยึดมั่นในบรรทัดฐานพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, ประการที่ 2 : ความร่วมมือแบบ win-win และปฏิบัติตามแนวทางการพัฒนาอย่างสันติ, ประการที่ 3 : การดูแลและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ปฏิบัติตามแนวคิดที่มีความใกล้ชิด ความจริงใจ การได้รับประโยชน์ร่วมกันและการเปิดกว้าง และประการที่ 4 : การยอมรับและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ร่วมกันสร้างลัทธิภูมิภาคนิยมแบบเปิดกว้าง

“จีนเป็นเพื่อนบ้าน มิตร และหุ้นส่วนที่ดีเยี่ยมของอาเซียนทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต”

        ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวย้ำ พร้อมกับระบุว่า จีนจะให้ความสำคัญสูงสุดกับอาเซียนในส่วนของความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศเพื่อนบ้าน

ผู้นำจีนให้คำมั่นหนุนความเจริญรุ่งเรืองอาเซียน    

        เมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างจีนกับอาเซียน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้นำเสนอแนวทาง 5 ประการ พร้อมกับกระตุ้นให้พยายามกระชับความร่วมมือระหว่างประชาคมอาเซียนกับจีนที่มีอนาคตร่วมกัน ตลอดจนผลักดันให้ภูมิภาคและทั่วโลกเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ผู้นำจีนเรียกร้องให้สร้างบ้านที่สงบสุขร่วมกัน และกล่าวกับประเทศสมาชิกอาเซียนว่า “จีนจะไม่มีวันใช้อำนาจครอบงำ และจะไม่รังแกประเทศที่เล็กกว่า” พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า จีนสนับสนุนความพยายามของอาเซียนในการสร้างเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ และพร้อมลงนามในพิธีสารของสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

        “การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นเครื่องพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งว่า ไม่มีที่ใดในโลกที่สามารถปลอดภัยอยู่ที่เดียว และมีเพียงความปลอดภัยสากลเท่านั้นที่จะก่อให้เกิดความปลอดภัยอย่างแท้จริง” ผู้นำจีนระบุ และกล่าวเสริมว่า จีนพร้อมทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อร่วมกันสร้าง “เกราะป้องกันสุขภาพ” สำหรับภูมิภาค โดยจีนจะบริจาควัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติมอีก 150 ล้านโดสให้ประเทศสมาชิกอาเซียน และให้เงินสนับสนุนเพิ่มเติมอีก 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯแก่กองทุนอาเซียนรับมือโควิด-19 (COVID-19 ASEAN Response Fund)  

        นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังประกาศมาตรการต่าง ๆ เพื่อสร้างบ้านที่เจริญรุ่งเรืองร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ การมอบเงินสนับสนุนการพัฒนาอาเซียนอีก 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯตลอด 3 ปีข้างหน้า เพื่อสนับสนุนการต่อสู้กับโควิด-19 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ, การสั่งซื้อผลผลิตทางการเกษตรมูลค่า 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯจากอาเซียนในอีก 5 ปีข้างหน้า

        นอกจากนี้ จีนจะเปิดตัวโครงการส่งเสริมนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยการถ่ายโอนเทคโนโลยีชั้นนำที่ใช้งานได้กว่า 1,000 รายการ และสนับสนุนนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่จากประเทศในอาเซียนไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศจีนในอีก 5 ปีข้างหน้าจำนวน 300 คน

        ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า “ความกลมกลืนกับธรรมชาติคือพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืนของมวลมนุษยชาติ” และจีนพร้อมพูดคุยอย่างเปิดกว้างกับอาเซียนในเรื่องการรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ โดยทั้งสองฝ่ายสามารถยกระดับความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด การเงินและการลงทุนสีเขียว การเกษตร รวมถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนทางทะเล นอกจากนี้ ผู้นำจีนยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างบ้านที่อยู่ร่วมกันฉันมิตร พร้อมกับเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายสนับสนุนค่านิยมด้านมนุษยธรรมร่วมกัน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน และยกระดับการเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างอารยธรรม  

‘นายกฯประยุทธ์’ ชูสปิริตแห่งความร่วมมือ ย้ำสัมพันธ์หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์รอบด้าน  

        ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค : ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ภายหลังการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ร่วมกับผู้นำจีน โดยระบุว่า ประเทศจีนนั้น นอกจากจะเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจของโลกแล้ว ยังเป็น "หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน" (Comprehensive Strategic Partnership) กับอาเซียน ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เชื่อมโยงกันในทุกมิติ เช่น ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียนตั้งแต่ปี 2552 มีมูลค่าการลงทุน FDI ในอาเซียนเป็นอันดับ 4 และมีความร่วมมือกับอาเซียนผ่านข้อริเริ่ม Belt and Road Initiative (BRI) ในปี 2562 เป็นต้นมา

        ส่วนด้านสังคมและวัฒนธรรม จีนและอาเซียนก็มีความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพัฒนาชนบทและการขจัดความยากจน นอกจากนี้ในระดับประชาชน มีการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกันมากกว่า 65 ล้านคน ในปี 2562 ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอาเซียนมากที่สุดอันดับ 1 ก็คือชาวจีน

        ส่วนด้านความมั่นคงนั้น ที่ผ่านมาเกือบ 2 ปี ประเทศสมาชิกอาเซียนและจีนต่างก็ต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดโควิด และเกิดความร่วมมือ ช่วยเหลือกันอย่างเข้มแข็งแม้ในยามวิกฤต จีนเองได้บริจาควัคซีนจำนวนมากให้แก่ชาติสมาชิกอาเซียน รวมไปถึงความร่วมมือกันจัดการกับวิกฤตที่กำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆอย่างปัญหาสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ ยังมีความละเอียดอ่อนในประเด็นทะเลจีนใต้ ที่อาจกระทบบรรยากาศการรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และดุลยภาพในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจที่ต้องอาศัยการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันอีกด้วย

        ในเวทีการประชุมนี้ ผมได้นำเสนอ "สปิริตแห่งความร่วมมือ" ที่ควรเริ่มต้นจากการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค บนพื้นฐานของหลักการ 3M คือ 1) ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน (Mutual Trust) 2) ความเคารพซึ่งกันและกัน (Mutual Respect) และ 3) ผลประโยชน์ที่ได้ร่วมกัน (Mutual Benefit) เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี เกื้อกูลไปสู่การขยายความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ต่อไป สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ประเทศไทย คือ "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"

        “ไทย อาเซียน และจีน เป็นมหามิตรที่มีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ประชาชนของแต่ละประเทศต่างผูกเชื่อมใจไว้ด้วยกันเช่นพี่น้อง ที่มีแต่ความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือจุนเจือกัน ส่งเสริม แลกเปลี่ยนรอยยิ้มและมิตรภาพกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด

        ผมจึงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า แม้วิกฤตที่ผ่านมาแม้จะหนักหนาสาหัสเพียงใด แต่ก็มิได้ทำให้สายใยแห่งสัมพันธ์ฉันพี่น้องนี้คลายลง กลับยิ่งทำให้เราต่างเห็นอกเห็นใจกัน เข้าใจกัน และร่วมกันจับมือก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปด้วยกัน ด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการร่วมพัฒนายกระดับให้บ้านเมืองของแต่ละประเทศและทั้งภูมิภาคนี้ให้เจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดี ไปด้วยกันอย่างมั่นคงและแข็งแรงต่อไป” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ

        ทั้งนี้ นับตั้งแต่จีนและอาเซียนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 2534 ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การค้าระหว่างจีนกับอาเซียนได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 85 เท่า โดยจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียนติดต่อกัน 12 ปี นับตั้งแต่ปี 2552 ขณะที่อาเซียนได้กลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีนในปี 2563

        สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ การค้าทวิภาคีระหว่างจีน-อาเซียน ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเติบโต 38.2% เมื่อเทียบรายปี และมีมูลค่าการลงทุนระหว่างกันกว่า 3.10 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Tags: