Focus

ถอดบทเรียนจีนพัฒนาภาคเกษตรฟื้นฟูชนบท อะไรคือสิ่งที่ไทยต้องเรียนรู้และปรับตัว ?

3

May

2022

13

March

2022

        การทำเกษตรสมัยใหม่และฟื้นฟูภาคชนบทเป็นหนึ่งในนโยบายที่จีนให้ความสำคัญ ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ประกาศใช้แผนพัฒนาเกษตรขั้นสูงและชนบทสมัยใหม่ (Advance Agricultural and Rural Modernization) ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2564 – 2568) การดำเนินนโยบายดังกล่าวของจีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย โดยเฉพาะในด้านตลาดสินค้าเกษตร จะส่งผลอย่างไรต่อไทย ? อะไรคือสิ่งที่ไทยต้องเรียนรู้และปรับตัว

        รณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า แผนพัฒนาเกษตรฯดังกล่าวของจีน มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมฟื้นฟูชนบทให้เข้มแข็งอย่างครอบคลุม และกระตุ้นการพัฒนาภาคเกษตรและชนบทให้ทันสมัย โดยประกอบด้วยนโยบายสำคัญ อาทิ การเพิ่มอุปทานสินค้าเกษตร และสร้างความมั่นคงทางอาหารของผลผลิตการเกษตรที่สำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มธัญพืช สินค้าปศุสัตว์และประมง การกระจายการนำเข้าและสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานโลกให้มั่นคงในกลุ่มสินค้าเกษตร ได้แก่ ถั่วเหลือง น้ำตาล ฝ้าย ยางธรรมชาติ เมล็ดพืชน้ำมัน และผลิตภัณฑ์นม

        “จีนเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย การดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของจีนย่อมส่งผลต่อการค้ากับไทย ซึ่งการติดตามนโยบายของจีนจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเตรียมพร้อมปรับตัว นอกจากนี้ ไทยสามารถถอดบทเรียนนโยบายภาคเกษตรจากจีน นำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาภาคเกษตรของไทยได้” ผู้อำนวยการ สนค. กล่าว

        สำหรับแผนพัฒนาเกษตรฯ ฉบับที่ 14 ของจีน มีเป้าหมายหลัก คือ 1.การผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาปริมาณการผลิตธัญพืชที่ระดับ 650 ล้านตันต่อปี หรือมากกว่า และผลิตเนื้อสัตว์ให้ได้ 89 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2568

        2.การปรับปรุงคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตร วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ต้องมีบทบาทมากขึ้นในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และมีสัดส่วนอยู่ในปัจจัยที่ส่งผลต่อการขยายตัว (Contribution to Growth) ของผลผลิตทางการเกษตร ให้ถึงร้อยละ 64 ภายในปี 2568

        3.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชนบท เพิ่มจำนวนถนนลาดยาง และเพิ่มการเข้าถึงแหล่งน้ำดื่มสาธารณะ 4.การพัฒนาระบบนิเวศของสิ่งแวดล้อมในชนบทจากการทำเกษตรกรรม ลดการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง และเพิ่มปริมาณการใช้ปุ๋ยจากมูลสัตว์ 5.เพิ่มรายได้ชาวชนบทให้เติบโตต่อเนื่อง โดยการขยายตัวของรายได้ต่อหัวของคนชนบทต้องสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) และ 6.การมุ่งมั่นขจัดความยากจน ติดตามและช่วยเหลือประชาชนเพื่อป้องกันไม่ให้กลับสู่ความยากจน

จับตาผลกระทบต่อสินค้าเกษตรส่งออกไทย

        จากการติดตามทิศทางแผนพัฒนาเกษตรฯ ดังกล่าวของจีน สนค. ได้ประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย ดังนี้  

        ประการแรก คือ จีนจะเพิ่มปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญเพื่อความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะธัญพืช และเนื้อสัตว์ กล่าวคือจีนจะหันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้นและลดการนำเข้า

ทั้งนี้ สินค้าสำคัญในกลุ่มธัญพืช และเนื้อสัตว์ ที่ไทยส่งออกไปจีน ได้แก่ 1.ข้าว (ปี 2563 จีนนําเข้าข้าวจากไทยเป็นอันดับ 3 รองจากเวียดนาม และเมียนมา) 2.ไก่สดแช่เย็นและแช่แข็ง (ปี 2563 จีนนําเข้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจากไทยเป็นอันดับ 3 รองจากบราซิล และสหรัฐฯ) และ 3.กุ้งสดแช่เย็นและแช่แข็ง (ปี 2563 จีนนําเข้ากุ้งแช่เย็นแช่แข็งจากไทยเป็น อันดับ 7 รองจากเอกวาดอร์ อินเดีย แคนาดา รัสเซีย เวียดนาม และออสเตรเลีย)

        ประการที่ 2 จีนจะกระจายการนำเข้า และสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานโลกให้มั่นคง ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยบางประเภท เช่น ยางธรรมชาติ โดยในปี 2563 จีนนำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 1 รองลงมา คือ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ดังนั้น ไทยต้องรักษาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับระดับโลก กระจายตลาดส่งออก และพัฒนายางพาราไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง

        อย่างไรก็ตาม แผนพัฒนาเกษตรฯ ดังกล่าวของจีน อาจสร้างโอกาสให้กับสินค้าบางประเภทของไทยที่อาจส่งออกไปจีนได้มากขึ้น เช่น น้ำตาลทราย ซึ่งจีนนำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 7 ในปี 2563 และยังมีโอกาสที่จะนำเข้าจากไทยเพิ่มมากขึ้น รวมถึงน้ำมันมะพร้าวซึ่งจีนนำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 8 ซึ่งจากแนวโน้มผู้บริโภคจีนที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ทำให้มีความต้องการบริโภคน้ำมันมะพร้าวเพิ่มขึ้น

บทเรียนการพัฒนาของจีนที่ไทยสามารถเรียนรู้และนำมาปรับใช้  

        ทั้งนี้ จากการถอดบทเรียนนโยบายภาคการเกษตรของจีนผ่านแผนพัฒนาเกษตรฯ ฉบับใหม่ของจีน สามารถสรุปเป็น 7 ประเด็นสำคัญที่ไทยสามารถเรียนรู้ และนำมาประยุกช์ใช้กับการพัฒนาภาคเกษตรของไทย ได้แก่

  1. การนําโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Model) ทั้งเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจสีเขียว และเศรษฐกิจหมุนเวียน มาใช้ในภาคเกษตรอย่างจริงจัง
  2. เพิ่มการวิจัยด้านการเกษตรและนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เชื่อมโยงนักวิจัยกับผู้ประกอบการและเกษตรกร
  3. ส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจบริการเกี่ยวกับเครื่องจักรกลการเกษตร เกษตรอัจฉริยะ รวมทั้งการปรับปรุงเมล็ดพันธุ์และสายพันธุ์พืชและสัตว์
  4. ส่งเสริมการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาด้านภาคเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ
  5. แสวงหาโอกาสจากเส้นทางข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) อาทิ รถไฟลาว-จีน เพื่อสร้างโอกาสในการส่งออกสินค้าเกษตรไทย ลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่ง
  6. พัฒนาโซ่ความเย็น (Cold Chain) และโลจิสติกส์ทั่วประเทศ ลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการขนส่ง รักษาคุณภาพและความปลอดภัย และรองรับการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ
  7. ไทยต้องเตรียมพร้อมปรับตัวกรณีที่จีนลดการนำเข้าสินค้าเกษตร โดยปรับเปลี่ยนจากการส่งออกสินค้าเกษตรโภคภัณฑ์ หันมามุ่งส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปที่มีมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้นไปยังจีน พร้อมทั้งสร้างความโดดเด่นให้สินค้าไทยมีความแตกต่าง เร่งพัฒนาปรับปรุงสินค้าให้มีคุณภาพมาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาดจีน รวมทั้งหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ นอกเหนือจากการพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก

        ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวทิ้งท้ายถึงบทเรียนสำคัญจากจีนในการมุ่งลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรที่สำคัญจากต่างประเทศ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างผลผลิตภาคเกษตร ให้สามารถพึ่งพาผลผลิตภายในประเทศได้เพิ่มขึ้น โดยจากสถานการณ์ปัจจุบันที่โลกกำลังเผชิญความท้าทายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัญหาด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ตลอดจนความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ จะเห็นถึงผลกระทบที่ตามมา ทั้งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า การชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน และการขาดแคลนวัตถุดิบอาหารสัตว์

        ดังนั้น ไทยต้องพยายามผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญภายในประเทศให้มากขึ้น อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี และถั่วเหลือง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ รวมถึงพืชอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยปลูกในพื้นที่เหมาะสม และใช้สายพันธุ์ที่มีการวิจัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (เช่น ข้าวสาลีสะเมิง) นอกจากนี้ อาจต้องมีการกำหนดพื้นที่และปริมาณผลผลิตพืชเศรษฐกิจใหม่ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาด ตลอดจนการพัฒนาการเก็บรักษาผลผลิตให้คงคุณภาพได้ยาวนานขึ้น

Tags: