‘ไทย-จีน’จับมือพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดัน Soft Power หนุนการค้า-การท่องเที่ยว

12

January

2022

19

May

2021

        มากไปกว่าความบันเทิง อุตสาหกรรมภาพยนตร์กำลังเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ที่มีพลังในการส่งต่อทางวัฒนธรรม สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ และเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  

        ล่าสุด ความร่วมมือด้านภาพยนตร์ระหว่างไทย-จีน กำลังพัฒนาก้าวไปอีกขั้น หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมา ไฟเขียวการจับมือร่วมกันระหว่างไทย-จีน เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งระบบ ใช้เป็น Soft power ส่งเสริมการค้า การลงทุน ท่องเที่ยว หนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์-ดิจิทัล เติบโตหลายเท่าตัว

        รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านภาพยนตร์ระหว่างทบวงกิจการภาพยนตร์ของจีนและกระทรวงวัฒนธรรมของไทย ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านภาพยนตร์ของทั้งสองประเทศ โดยร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะมีการลงนามในช่วงประมาณต้นปี 2565 สาระสำคัญเป็นการกำหนดความร่วมมือด้านภาพยนตร์ของทั้งสองฝ่ายภายในระยะเวลา 5 ปี อาทิ

  1. เป็นเจ้าภาพจัดนิทรรศการภาพยนตร์หนึ่งครั้ง และส่งคณะผู้แทนภาพยนตร์ไปร่วมกิจกรรม
  2. สนับสนุนให้องค์กรภาพยนตร์และบุคคลของทั้งสองประเทศ แลกเปลี่ยน ร่วมมือ และแบ่งปันข้อมูลอุตสาหกรรมซึ่งกันและกัน
  3. สนับสนุนการร่วมผลิตภาพยนตร์ในประเด็นความสนใจร่วมกัน
  4. สนับสนุนให้ผู้สร้างภาพยนตร์และภาพยนตร์ของทั้งสองประเทศ มีส่วนร่วมในเทศกาลภาพยนตร์ที่จัดขึ้น
  5. สนับสนุนให้ช่องโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ของทั้งสองประเทศ นำเข้าและออกอากาศภาพยนตร์ของกันและกัน
  6. สนับสนุนให้หอภาพยนตร์ของทั้งสองประเทศ ขยายการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านข้อมูลภาพและเสียงตามหลักผลประโยชน์ร่วมกัน
  7. สนับสนุนให้มีการจัดทำข้อตกลงในการร่วมผลิตภาพยนตร์ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ
การร่วมลงทุนภาพยนตร์ร่วมกันจะถือได้ว่าภาพยนตร์ที่ผลิตได้เป็นภาพยนตร์สองสัญชาติ จะทำให้ไทยสามารถจัดฉายในประเทศจีนได้โดยไม่ต้องผ่านระบบการกำหนดโควตาภาพยนตร์ต่างประเทศ

        ร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ในหลายด้าน โดยเฉพาะความร่วมมือในการผลิตภาพยนตร์ระหว่างรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ สนับสนุนการนำเข้าและออกอากาศภาพยนตร์ระหว่างกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การใช้สถานที่ถ่ายทำ การเช่าโรงถ่ายทำ การจ้างทีมสตั๊นท์ เป็นต้น

        นอกจากนี้ การร่วมลงทุนภาพยนตร์ร่วมกันจะถือได้ว่าภาพยนตร์ที่ผลิตได้เป็นภาพยนตร์สองสัญชาติ จะทำให้ไทยสามารถจัดฉายในประเทศจีนได้โดยไม่ต้องผ่านระบบการกำหนดโควตาภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่งตลาดภาพยนตร์ในประเทศจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ในปี  2562 มีมูลค่าการขายตั๋วอยู่ที่ 64,200 ล้านหยวน หรือประมาณ 337,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 5.9 และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยใน ปี  2562 มีจำนวนโรงภาพยนตร์ทั้งสิ้น 68,992 โรง ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีจำนวนโรงภาพยนตร์มากที่สุดในโลก

        “นับเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายความร่วมมือเพื่อเพิ่มมูลค่าของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของทั้งสองประเทศและความร่วมมือในอุตสาหกรรมออนไลน์และดิจิทัล อีกทั้งจะเป็นการใช้สื่อภาพยนตร์เป็นเครื่องมือด้าน Soft Power เพื่อนำเสนอ ส่งเสริม และประชาสัมพันธ์ สร้างกระแสความนิยมของประเทศไทย เพื่อนำไปสู่ผลประโยชน์ด้านอื่นโดยเฉพาะการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวด้วย” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

        ด้าน อิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า นับตั้งแต่กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการตามนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์(Creative Culture) การขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ BCG อุตสาหกรรมวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ และแผนปฏิบัติการส่งเสริมและเผยแพร่ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยในประเทศจีน ทำให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างไทย-จีนอย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดเทศกาลภาพยนตร์จีน ณ กรุงเทพฯ การแลกเปลี่ยนภาพยนตร์จีน-ไทย งานตลาดภาพยนตร์และโทรทัศน์นานาชาติฮ่องกง งานตลาดภาพยนตร์นานาชาตินครเซี่ยงไฮ้ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ กรุงปักกิ่ง และการจัดงานแสดงสินค้าลิขสิทธิ์นานาชาติแห่งฮ่องกง เป็นต้น ส่งผลดีต่อการค้าและการลงทุนระหว่างกันซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 9,200 ล้านบาท

Tags: