Movement

‘หอการค้าไทย-จีน’แถลงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น ไตรมาส 3/2565 หวั่นปัญหาราคาพลังงานแพง-ความขัดแย้งมหาอำนาจยืดเยื้อ คาดจีนกลับมาเที่ยวไทยไตรมาสแรกปีหน้า

30

June

2022

30

June

2022

         นายณรงค์ศักดิ์  พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หอการค้าไทย-จีน และคณะเศรษฐศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นจากคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกหอการค้าไทยจีน และประธานผู้บริหาร กรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทยจีน จำนวน  325 คน  ระหว่างวันที่ 16 ถึง 24 มิถุนายน 2565  เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3ของปี 2565 ได้ดังนี้

       ในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์โลกมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน จากเหตุดังกล่าวจึงมีการสำรวจปัจจัยที่มีความกังวลที่เกิดมาจากสถานการณ์ในต่างประเทศ พบว่าผู้ให้ข้อมูลความกังวลใน 2 ลำดับแรก คือ สถานการณ์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อของชาติมหาอำนาจ และราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ที่สร้างความกังวลกับผู้ให้ข้อมูลเป็นอย่างมาก (เป็นจำนวนร้อยละ76 และ 68 ตามลำดับ)

        ในขณะที่ความกังวลในลำดับรองลงมา คือราคาอาหารโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และความผันผวนของตลาดการเงิน (เป็นจำนวนร้อยละ 38 และ 29ตามลำดับ) จากสถานการณ์โควิดในวันนี้พบว่า ผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่มีความกังวลอยู่บ้าง แต่ใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น(ร้อยละ 65) และอีกส่วนหนึ่งมีความกังวลพอควรและใช้ชีวิตระวังเช่นเดิม(ร้อยละ 20) และมีผู้ให้ข้อมูลบางส่วนได้หมดความกังวลแล้ว(ร้อยละ 11) สถานการณ์คลี่คลายความกังวลจากโควิดเป็นสัญญาณที่ดีมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ

        จากการปรับตัวของราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นในไตรมาสที่สอง ผู้ให้ข้อมูลได้แบ่งปันประสบการณ์ผลกระทบต่อต้นทุนทางธุรกิจ และพบว่าร้อยละ 50 ของผู้ให้ข้อมูลที่สำรวจมีต้นทุนการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ 10 ถึง 20  ร้อยละ 31 ของผู้ให้ข้อมูลมีต้นทุนเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ 20 ถึง 40 และร้อยละ 12 ของผู้ให้ข้อมูลมีต้นทุนเพิ่มมากกว่าร้อยละ 40 จากประเด็นดังกล่าวจึงมีคำถามต่อเนื่อง หากใน 3 เดือนหน้าราคาน้ำมันและวัตถุดิบยังคงเดิมเช่นวันนี้จะมีการปรับราคาสินค้าหรือไม่ พบว่าร้อยละ 51 ของผู้ให้ข้อมูลจะต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 25ของผู้ให้ข้อมูลต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นให้เท่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นดังที่ผ่านมา และมีเพียงร้อยละ 14 ยังรอการปรับราคาได้ แนวโน้มดังกล่าวส่งสัญญาณว่าปัญหาทางด้านเงินเฟ้อคงยังไม่ชะลอตัวลง

        เมื่อได้สอบถามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศจีน กล่าวคือ ในระยะที่ผ่านมารัฐบาลจีนมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาของภาคอสังหาริมทรัพย์และกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 60 คาดว่าสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะต้องใช้เวลามากกว่าอีก 6 เดือนจากวันนี้ ขณะที่ร้อยละ34.5 คาดว่าต้องใช้เวลาระหว่าง 3-6 เดือน

        จากนโยบายปลอดโควิดของจีนนั้นที่ทำให้เกิดการปิดเมืองชั่วคราว ผู้ให้ข้อมูลให้ข้อคิดเห็นว่านโยบายดังกล่าวมีผลต่อการส่งออกของประเทศไทยไปยังประเทศจีน โดยที่ร้อยละ 48 ของผู้ให้ข้อมูลระบุว่ามีผลกระทบเป็นอย่างมาก และร้อยละ 31 มีผลกระทบพอประมาณจากสถานการณ์ภายในประเทศจีนต่อการเดินทางไปต่างประเทศ

        ร้อยละ 44 ของผู้ให้ข้อมูลคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเยือนประเทศไทยในไตรมาสแรกของปี 2566 ในขณะที่ร้อยละ 16 ของผู้ให้ข้อมูลคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเยือนเมืองไทยก่อนสิ้นปี 2565 ส่วนผู้ให้ข้อมูลที่เหลือคาดว่าต้องรอจนหลังไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ที่นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง

        ในเรื่องของการท่องเที่ยว จากนโยบายผ่อนปรนจนกระทั่งไม่มีการตรวจโควิดกับนักท่องเที่ยวก่อนเข้าประเทศ ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 55 คาดว่าต้องใช้เวลาระหว่าง 3-6 เดือน การท่องเที่ยวจะนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอีกครั้งหนึ่งอย่างเต็มที่ ขณะที่ร้อยละ 36.8 คาดว่าต้องใช้เวลามากกว่าอีก 6 เดือน

         นายณรงค์ศักดิ์  กล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทยจากการสำรวจพบว่าร้อยละ 29 คาดว่าเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนโดยรวมของจีนในไตรมาสที่ 3 จะดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ในขณะที่ร้อยละ 43 คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะทรง ๆ ส่วนร้อยละ 22 มีความเห็นว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะเติบโตช้าลง ซึ่งผลการประเมินดังกล่าวได้สะท้อนถึงการคาดคะเนการส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนในไตรมาสที่3 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน

        กล่าวคือ ร้อยละ 54 คาดว่าการส่งออกของไทยไปยังจีนจะเพิ่มขึ้น และ ร้อยละ 27 ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน ด้านการคาดคะเนการนำเข้านั้น ร้อยละ 58 คาดว่าการนำเข้าจากจีนจะเพิ่มสูงขึ้น และร้อยละ 23 การนำเข้าจะทรงตัว

        ส่วนผลของการสอบถามความคิดเห็นด้านการลงทุนของจีนในไทย พบว่า ร้อยละ56 ของผู้ให้ข้อมูลคิดว่า การลงทุนจากจีนในไทยในไตรมาสที่ 3 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 2 จะเพิ่มขึ้นในขณะที่ร้อยละ 28 ของผู้ให้ข้อมูลคาดว่าการลงทุนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน

        กล่าวโดยสรุปได้ว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นบ้างในอีกสามเดือนหน้าและน่าจะมีผลที่ดีกับประเทศไทยในเรื่องการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ

         การสำรวจการคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจการค้า การลงทุน ของไทยโดยรวม ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน สรุปได้ว่าร้อยละ 52 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น ร้อยละ 25 จะทรง ๆ ขณะที่ร้อยละ20 ไตรมาสที่ 3 จะชะลอตัวลงอีก

        ทั้งนี้ ภาคธุรกิจที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสหน้าคือ ธุรกิจการท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร ธุรกิจบริการสุขภาพ และธุรกิจออนไลน์ ส่วนธุรกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ ธุรกิจการท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร และพลังงานและสาธารณูปโภค โดยจากการสอบถามเพิ่มเติมในส่วนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวพบว่า เป็นอุตสาหกรรมที่เป็นโอกาสของประเทศไทยที่สำคัญ และจะนำไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้หากได้รับการแก้ไขอุปสรรคอย่างรวดเร็ว

        การคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 51 คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าจะปรับตัวลดลง ร้อยละ 22 คาดว่าคงเดิม ร้อยละ 23 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น

        ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสหน้านั้น เสียงส่วนใหญ่ร้อยละ 57 คาดว่าเงินบาทจะมีค่าอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และอีกร้อยละ 17 คาดว่าค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลงเป็นอย่างมาก

        กล่าวโดยสรุปผลการสำรวจในครั้งนี้ สิ่งภาคเอกชนต้องติดตาม คือสถานการณ์ความขัดแย้งของมหาอำนาจที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทย สถานการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง มีผลทำให้การนำเข้าพลังงานมีต้นทุนสูงขึ้นมาก ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวที่จะได้ประโยชน์จากการที่บาทอ่อนยังไม่สามารถหวังผลได้เต็มที่ จะกดดันให้เงินเฟ้อค่อย ๆ สูงขึ้นโดยภาคเอกชนยังมีความกังวลใจกับการปรับราคาขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ

Tags: